วันจันทร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

วันพุธที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

MAC vs PC

Web Technology in Education.

WEB 1.0 in Education


1. webquests ให้นักเรียนใช้เวลาในเว็บในคือการค้นหาคำตอบสำหรับคำสั่งกิจกรรมที่ตั้งไว้
ทำกิจกรรมเกี่ยวหรือเป็นกลุ่มแบบเรียนรู้ร่วมกันได้
2. Quizzes แบบทดสอบปริศนาและเกม สร้างความสนุกสนาน,แบบทดสอบย่อย
3.  Sims ประยุกต์ใช้การสอน , แบบจำลองเพื่อความเข้าใจในเนือ้หาการเรียน

4.พจนานุกรมและสารานุกรมออนไลน์ ประยุกต์ใช้การสอน,เพื่อการค้นคว้าในการเรียนเพิ่มเติม

5. E-mail สร้างการสื่อสารระหว่างผู้เรียนและผู้สอน  , ประหยัดค่าใช้จ่ายในการสื่อสาร
   จะเห็นได้ว่าใน WEB 1.0 จะเน้นการนำมาพาใช้เพื่อให้ผุ้เรียนเข้าถึงเนื้อหาในการเรียน เพื่อการค้นคว้า การศึกษา การทบทวน การทำแบบทดสอบ และการสื่อสาร เพื่อเสริมประสิทธิภาพการเรียนมากขึ้น

WEB 2.0 in Education 

1. Blog การทำโครงงาน , การทำรายงาน , การเสนอผลงานวิจัย

2. Wiki การประชุมแสดงความคิดเห็น , การสร้างองค์ความรู้ใหม่
3.  Game Online สร้างความสนุกสนาน , ประยุกต์ใช้การสอน , การเรียนการสอนแบบทดลอง

4. RSS Feeds การติดตามข่าวสารจากผู้เรียนและผู้สอน , กำหนดการของมหาวิทยาลัย

5. Video ทำบทเรียนย้อนหลัง , เป็นเครื่องมือช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนรู้

6.  Webboard ฝึกการต้องข้อสงสัย การสังเกต และการแสดงความคิดเห็น

7.  Chat สร้างการสื่อสารสองทางระหว่างผู้เรียนและผู้สอน  , ประหยัดค่าใช้จ่ายในการสื่อสาร

WEB 3.0 in Education

1. chatbots บทสนทนาอัจริยะเพื่อการให้ข้อมูล การแนะนำการเรียน การโต้ตอบกับผุ้เรียน

2. Virtual worlds ประยุกต์ใช้การสอนเพื่อการเรียนในชั้นเรียนเสมือน ทั้งการเรียน การทำกิจกรรม

3. M-learning การเข้าเรียนในระบบ

4.e-portfolios การทำแฟ้มงานส่วนตัว

5. VoIP สร้างการสื่อสารระหว่างผู้เรียนและผู้สอน 
ในขณะที่เว็บ 1.0 มุ่งเน้นข้อมูลเว็บและเว็บ 2.0 หมายถึงเว็บสังคม, เว็บระยะ 3.0 หมายถึงวิวัฒนาการของเว็บ ในรูปแบบ
เว็บเชิงความหมายหรือที่เรียกว่าเว็บอัจฉริยะ  การนำมาใช้ในการศึกษาจะเป็นในลักษณะห้องเรียนเสมือนมีการเรียนการสอนในชั้นเรียนเสมือนอย่างเต็มเวลามากขึ้น

WEB 4.0 future

จากแนวทางในการพัฒนาของเทคโนโลยีเวบ แสดงให้เห็นว่ามีการดึงข้อมูลในส่วนของ metadata มาวิเคราะห์เพื่อกาหนดการทำงานของ web osในอนาคต มากขึ้น โดยจะมีความสามารถดังนี้
1. มีการสร้างเงื่อนไขในการเข้าถึงบทเรียนที่แตกต่างกัน ทาให้ผู้เรียนที่มีพื้นฐานการเรียนต่างกันสามารถเรียนร่วมกันได้

2.ระบบช่วยตัดสินใจ ระบบช่วยแนะแนวทางให้แก่ผู้สอนในการวิเคราะห์ผู้เรียนด้วยเงื่อนไขที่ซับซ้อนขึ้น

3.ระบบแนะนาการเรียน ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา ให้กับผู้เรียน

4.มีระบบการสื่อสาร การปฏิสัมพันธ์ในการเรียนที่สะดวก รวดเร็ว หลากหลาย เข้ากับพฤติกรรมในการใช้งานของผู้เรียนมากขึ้น

web technology in education


วันอังคารที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

WEB 4.0 the future web technology.


Web 4.0 นั้น ตอบสนองความต้องการในการใช้เว็บที่แสนจะหลากหลายของผู้ใช้แต่ละคน ซึ่งเทคโนโลยีนี้เรียกว่า Intelligent Personal Agents (IPA) ซึ่งหลายท่านกล่าวไว้ว่า..คอมพิวเตอร์อาจรู้เท่าทันคน เทคโนโลยีเว็บ 4.0 เป็นลักษณะที่เรียกกันว่า"symbiotic Web"คือเป็นเวบที่มีการเอื้อประโยชน์แก่ผู้พัฒนาและผู้ใช้ทั้งสองฝ่าย กล่าวคือผู้ใช้ได้รับความสะดวก สามารถโต้ตอบ แนะนาผู้ใช้ได้ ทาให้ผู้ใช้ได้รับข้อมูลที่ต้องการอย่างถูกต้อง ในเวลาที่รวดเร็ว ผู้พัฒนาสามารถติดตามการเข้าถึงข้อมูลส่วนต่างๆของผู้ใช้เพื่อนามาวิเคราะห์และการตัดสินใจโดยมีการใช้เงื่อนไขที่ซับซ้อนขึ้น

 เนื่องจาก Web 4.0 มีการพัฒนามาจากการจัดการ metadata ในweb3.0 ที่ซับซ้อนขึ้น ทาให้เราสามารถสร้างส่วนติดต่อที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น มี ปัญญาประดิษฐ์มากขึ้น จนทาให้พัฒนาไปถึงขั้นwebOS – ทำให้คอมพิวเตอร์สามารถปรับตัวให้เข้ากับการใช้งานของผู้ใช้ Web 4.0 จะทาให้สามารถเข้าถึงข้อมูลต่าง ๆ ได้มากขึ้น และหาข้อมูลได้ง่ายขึ้น โดยหัวใจของ Web 4.0 ก็คือ Adaptable หรือความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับพฤติกรรมของผู้ใช้ เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับความสะดวกและได้รับข้อมูลที่พวกเขาต้องการมากที่สุด โดยประยุกต์ใช้รูปแบบพฤติกรรมของผู้บริโภคเป็นตัวค้นหา อีกทั้งยังเป็นเว็บที่สามารถเรียนรู้ได้ด้วยตัวเองว่าผู้บริโภคชอบไม่ชอบ อะไรในเว็บ หากชอบฟังค์ชันการทางานนั้นก็จะปรับตัวให้ดียิ่งขึ้นและสร้างความเกี่ยวพัน กับการใช้งานของผู้บริโภคมากขึ้น Wed 4.0 คือ Learning Web โลกของการเรียนรู้บนสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น กับเทคโนโลยีที่ก้าวไปพร้อมกัน Web 4.0 นั้นมันจะเรียนรู้ได้ด้วยตัวมันเองและพัฒนาจาก Web 3.0 ให้มีมากกว่า การสื่อสาร การคิดวิเคราะห์ได้ด้วยตรรกวิทยา โครงสร้างของการศึกษาการดารงอยู่ของมนุษย์ เป็นยุคของ Web ที่มีการพัฒนาให้สามารถตัดสินใจหรือหาคาตอบให้กับผู้ใช้งานได้อันเนื่องมา จากความทันสมัยของเครื่องมือหรืออุปกรณ์ทีใช้ในการเข้าถึง Website และความฉลาดของ Web 3.0 ที่นามาใช้งานร่วมกัน Web 4.0 เป็นระบบการนาเสนอข้อมูลที่ชาญฉลาดที่เรียกว่า Intelligent Personal Agents (IPA) ประสานการทางานระหว่างกันกับ Agents อื่น (Multi-Agents) ซึ่งจะสามารถตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ได้อย่างหลากหลายและมีคุณภาพ ซึ่งคาดการณ์ไว้ว่าจะเกิดขึ้นจริงราวปี 2563-73 หรือ อีกอย่างน้อยสิบปีข้างหน้า ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้น แนวคิดข้อมูลคุณภาพทุกหนทุกแห่ง (ubiquitous) คงเกิดขึ้นได้จริง ๆ แล้ว ความสามารถของ Web 4.0
1. More access to data (สามารถเข้าถึง data ได้มากขึ้น)
1.1 Access to more products เข้าถึงผลิตภัณฑ์ได้หลายตัวมากขึ้น อย่างเช่น เสื้อผ้า เครื่องประดับ
อุปกรณ์การกีฬา
1.2 Accesss to more images เข้าถึงรูปภาพได้มากขึ้น
1.3 All customer reviews สามารถดึงคาติชมของลูกค้าทุกคน
1.4 More product attributes สามารถเข้าถึงข้อมูลของสินค้ามากขึ้น
2. Extended cabilities มีความสามารถมากขึ้น 2.1 Extended Search functionality ค้นหาข้อมูลด้วยรายละเอียดมากขึ้น 2.2 Save for Later remote shopping cart เลือกสินค้าโดยที่ไม่ใส่ตะกร้าได้ 2.3 Wish list search สามารถค้นหาสินค้าในรายการที่ผู้อื่นต้องการ
3. Improved usability 3.1 More documentation and code samples มีคู่มือการใช้และโปรแกรมตัวอย่างมากขึ้น 3.2 Localized error messages. New error messages include very specific information about errors
in your requests and provide troubleshooting guideliens error messages มีข้อมูลมากขึ้นที่
บอกถึงความผิดพลาดและช่วยบอกถึงวิธีแก้ 3.3 Built-in help functionality ทาให้ผู้พัฒนาสามารถเข้าถึง API ได้ง่าย ช่วยในการเรียนรู้และการนำไปใช้
เปรียบเทียบ WEB 1.0 , 2.0 และ 3.0








WEB 3.0

Web 3.0 นั้น จะมีลักษณะการสร้าง Web ที่มีความฉลาด (intelligence) ซึ่งเป็นผลมาจากการนาsemantic Web technology มาประยุกต์ใช้งาน ซึ่งในที่สุดก็น่าจะทาให้เทคโนโลยี ubiquitous (การมีตัวตนอยู่ทุกหนทุกแห่ง) กลายเป็นจริงได้โดยง่ายและสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น ยุค Web 3.0 กาลังจะเข้ามามีอิทธิพล เป็นการนาแนวคิดของ Web 2.0 มาทาให้ Web นั้นสามารถ จัดการข้อมูลจานวนมากๆ ได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งทุกวันนี้ผู้ใช้ทั่วไปที่เป็นผู้สร้างเนื้อหา ได้เพิ่มจานวนมากขึ้น เช่น การเขียน Blog, การแชร์รูปภาพและไฟล์มัลติมีเดียต่างๆ ทาให้ข้อมูลมีจานวนมหาศาล ด้วยเหตุนี้ จึงจาเป็นต้องมีความสามารถในการข้อมูลดังกล่าวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเอาข้อมูลเหล่านั้นมาจัดการ ให้อยู่ในรูปแบบ Metadata หรือ ข้อมูลที่บอกรายละเอียดของข้อมูล (Data about data) ทาให้เว็บ กลายเป็น Semantic Web หรือเว็บที่ใช้ Metadata มาอธิบายสิ่งต่างๆ บนเว็บ ซึ่งในตอนนี้จะเห็นกัน ทั่วไปในรูปของ Tag นั่นเองถ้าจะกล่าวอีกนัยหนึ่งSemantic Web คือ การรวมควบรวมกันของฐานข้อมูล แบบอัตโนมัติโดยใช้การคาดเดา และหลักทางคณิตศาสตร์เข้ามาช่วย ซึ่งผลลัพธ์ของ Application ที่ สร้างขึ้นบน Semantic Web จะถูกส่งไปยังอินเทอร์เน็ต และส่งต่อไปยัง Web Browser เช่น Internet Explorer, Firefox เป็นต้น โดยเว็บเบราว์เซอร์ อาจจะถูกฝังตัวอยู่ในอุปกรณ์ต่างๆ เช่น โทรศัพท์มือถือ ตู้เย็นโทรทัศน์หรือเครื่องคอมพิวเตอร์ซึ่งอุปกรณ์ที่ถูกฝังเว็บเบราว์เซอร์ ไว้ในตัวนั้นส่วนใหญ่จะสามารถ เชื่อมต่อเข้าสู่อินเทอร์เน็ตได้
เทคโนโลยีสาหรับยุค Web 3.0

จากคุณลักษณะในเรื่องความฉลาดสาหรับการบริหารจัดการข้อมูล จึงทาให้ Web 3.0 เป็น การนาเทคโนโลยี Semantic Web และ AI มาผสมผสานกันซึ่งมีลักษณะเด่นดังต่อไปนี้ Semantic Web เป็นการเชื่อมโยงข้อมูลต่างๆ ทั้งที่อยู่ในเว็บของผู้พัฒนาและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ให้มี ความสัมพันธ์กัน ซึ่งทาให้ฐานข้อมูลมีขนาดใหญ่มากๆ หรืออาจจะทาให้เกิดฐานข้อมูลโลก (Global Database) เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่น่าจะเข้าไปมีส่วนให้การพัฒนาเว็บให้เป็น Web 3.0 นั้น มี ดังนี้
1. AI (Artificial Intelligence) หรือปัญญาประดิษฐ์ เป็นการสร้างความฉลาดให้ระบบ คอมพิวเตอร์ ทาให้สามารถคาดเดาพฤติกรรม และวิเคราะห์ความต้องการของผู้ใช้งานเว็บ ช่วยใน การค้นหาข้อมูลซึ่งมีจานวนมาก เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ตรงกับความต้องการของผู้ใช้มากที่สุด โดยให้ AI มาช่วยในการสร้าง tag เพิ่มเติมจากที่ให้เจ้าของ content สร้าง tag เอง ซึ่งลักษณะเหมือนกับตัว spider ของ Search engine ยังไงก็ไม่รู้ ซึ่งจะทาให้สามารถค้นหาข้อมูลที่ตรงกับสิ่งที่ต้องการได้มายิ่งขึ้น นอกจากเทคโนโลยี Semantic Web และ AI แล้ว ยังมีการพัฒนาเว็บในยุค Web 3.0 โดยใช้ เทคโนโลยีอื่นๆ ได้แก่
 2. Automated reasoning การเขียนโปรแกรมให้ระบบคอมพิวเตอร์รู้จักการแก้ปัญหาเอง มีการประมวลผลได้อย่างสมเหตุสมผล พร้อมทั้งแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้า อีกทั้งปรับปรุงระบบ เองได้โดยอัตโนมัติ เป็นระบบสมองกล ที่นิยายวิทยาศาสตร์มักจะนาไปใส่ไว้ในหุ่นยนต์ โดยเจ้า AI จะสามารถคาดเดาผู้ใช้งานได้ว่ากาลังค้นหา หรือคิดอะไรอยู่ เป็นการผสมผสาน Application หรือ โปรแกรม หรือบริการต่างๆ ของเว็บ ที่มาจากแหล่งต่างๆ เข้าไว้ด้วยกัน เพื่อประโยชน์ของผู้ใช้งาน
3. Ontology หรือ OWL เป็นภาษาที่ใช้ในการอธิบายสิ่งต่างๆ ให้มีความสัมพันธ์กัน โดยดู จากความหมายของสิ่งนั้นๆ ซึ่งก็จะเชื่อมโยงกับระบบ Metadata คือภาษาที่ใช้เป็นตัวอธิบายข้อมูล เชิงสัมพันธ์ (Data about Data) หรือ “ข้อมูลที่ใช้อธิบายความหมายหรือรายละเอียดของข้อมูล(METADATA)” หรือ Tags นั่นเอง ทาให้สามารถรู้และทาการค้นหาข้อมูลในเชิงความหมายจาก Ontology นอกเหนือจากการค้นจาก ข้อความบนหน้าเพจ
4. Semantic Wiki เป็นการอธิบายคาๆ หนึ่ง คล้ายกับดิกชันนารีนั้นเอง ดังนั้นถ้า Web 3.0 เป็น Wiki ด้วยแล้วนั้น จะทาให้เราสามารถหา ความหมาย หรือข้อมูลต่างๆ ได้ละเอียด และ แม่นยามากขึ้น เมื่อข้อมูลมันมีมาก คนเขียนบล็อกก็มีเยอะ ทาให้เนื้อหามีมากมายขึ้นทุกที จนบางที ก็ไม่รู้ว่าจะค้นหาข้อมูลที่ต้องการ ด้วยคีย์เวิร์ดอะไร ดังนั้นถ้าใช้คาค้นหา แบบกว้างๆ แต่กาจัดวง แคบๆให้เราได้ก็คงเป็นผลดีการค้นหาแบบข้อมูลซ้อนข้อมูลหรือใช้การค้นหาหลาย ทิศทาง (Vertical Search) ผสมกับความเป็นส่วนตัวเข้าช่วย (Personalize) จะสามารถโฟกัสข้อมูลลงไปได้ หรืออีกหลายเทคโนโลยีซึ่งสามารถอ่านเพิ่มเติมได้จากบทความ "12 เทคโนโลยี (ไม่) พร้อมใช้ใน Web 3.0"
5. Semantic Web เป็นระบบที่มีการเชื่อมโยงข้อมูลต่างๆ ทั้งที่อยู่ในเว็บของผู้พัฒนาและ แหล่งข้อมูลอื่นๆ ให้มีความสัมพันธ์กัน ซึ่งจะทาให้ระบบฐานข้อมูลมีขนาดใหญ่มากๆ หรืออาจทา ให้เกิดฐานข้อมูลโลก (Global Database) ไปเลยก็ได้ ซึ่งจะมีการพูดถึงการ Share Data, Service ต่างๆ เข้าด้วยกัน และเป็นแนวคิดที่มีการนามาใช้งานในลักษณะของ partner และการต่อยอดกับ public ต่อไป
ดังนั้น Web 3.0 คือเทคโนโลยีหรือแนวความคิดที่จะ เชื่อมโยงข้อมูลใน web ที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกันทั้งภายใน web หรือภายในเครือข่ายของโลก ซึ่งมองไปแล้วมันก็คือ Database ของโลกเลย แต่ก็เป็นแนวคิดที่จะทาให้หาข้อมูล ที่ต้องการได้ง่ายขึ้น ซึ่งก็จะมี format ข้อมูลในการติดต่อสื่อสารกัน แต่ก็ based-on XML เช่นพวก RDF (Resource Definition Framework), OWL(Ontology Web Language) ยุคของเว็บ 3.0 นี้เองที่มีความฉลาดล้าหน้าไปอย่างมาก และความฉลาดของมันนี่เองจะนาซึ่งความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่และท้าทายเหล่าผู้พัฒนาเว็บไซต์และผู้ใช้มีจัดทาเว็บไซต์ที่มีประสิทธิภาพต่อไปในอนาคต

The Future Internet: Service Web 3.0

WEB 2.0

จากเทคโนโลยีเว็บ 1.0 ที่มีลักษณะแบบคงที่ (Static) จนถูกพัฒนาขึ้นเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้และผู้พัฒนาเว็บเพื่อการติดต่อสื่อสารในลักษณะที่มีความยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้น โดยเว็บในรุ่นที่ 2 นี้มีลักษณะเชิงพลวัตร (Dynamic Website) หมายความว่า ผู้พัฒนาและผู้ใช้สามารถปรับปรุงข้อมูลของตนเองได้อย่างสะดวกรวดเร็วและยังสามารถติดต่อสื่อสารได้หลายทิศทาง ทั้งในลักษณะของ Half Duplex (สองทิศทางสลับกันส่ง) และ Full Duplex (สองทิศทางแบบพร้อมกัน) ทาให้การติดต่อสื่อสารระหว่างบุคคลมีความยืดหยุ่นมาก

การพัฒนาของระบบคอมพิวเตอร์ การสื่อสาร ฐานข้อมูลเชิงกระจาย และมีการกาเนิดมาตรฐานการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่มีประสิทธิภาพทาให้เว็บในรุ่น 2.0 เป็นที่นิยมจนถึงปัจจุบัน นอกจากนี้เว็บ 2.0 ยังกาเนิดขึ้นไปพร้อมๆ กับราคาของคอมพิวเตอร์และค่าใช้จ่ายทางด้านเครือข่ายที่ลดต่าลงรวมถึงเกิดวิวัฒนาการของอุปกรณ์เคลื่อนที่ทาให้เกิดผู้ใช้จานวนมาก ซึ่งทาให้ยุคของเว็บ 2.0 เป็นยุคที่มีข้อมูลข่าวสารจานวนมาก หรือเรียกว่า เกิดการทะลักของสารสนเทศ (Information Exploration)
มาตรฐานการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่สาคัญในยุคของเว็บ 2.0 เช่น มาตรฐานเอ็กซ์เอ็มแอล (eXtensible Markup Language: XML) เป็นภาษาประเภทมาร์คอัพที่มีความยืดหยุ่นกว่าภาษาเอชทีเอ็มแอล (HTML) เนื่องจากผู้พัฒนาและผู้ใช้สามารถสร้างฉลากความหมายของข้อมูล (Meta Data) ได้เอง ซึ่งภาษา HTML จะใช้ในการแสดงผลบนเว็บเบราเซอร์ได้อย่างเดียว แต่ภาษา XML เป็นภาษาสาหรับส่งถ่ายแลกเปลี่ยนข้อมูลทาให้เว็บรุ่นที่ 2.0 นี้สามารถใช้งานได้พร้อมกันในหลายระบบหรือแพล็ตฟอร์ม (Platform) เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์เคลื่อนที่ สมาร์ทโฟน หรือพ็อกเก็ตพีซี นอกจากภาษา XML แล้ว ยังมีมาตรฐานอื่นๆ ที่มีภาษา XML เป็นพื้นฐาน เช่น RSS (Really Simple Syndication) สาหรับแลกเปลี่ยนข่าวสารอัตโนมัติ หรือ การพัฒนา Gadget ก็มีการใช้เทคโนโลยี AJAX ซึ่งก็นา XML มาเป็นพื้นฐานสาหรับการแลกเปลี่ยนข้อมูลเช่นกัน
สถาปัต ยกรรมระบบและแนวคิดของ Web2.0 เป็นการสรุปรวมโครงสร้างและแบ่งหน้าที่ของระบบการทางานแบบร่วมกันและไม่ยึดติดกับ Platform เทคโนโลยีปัจจุบันที่สนับสนุนลักษณะของ Web2.0 เช่น
1. เว็บแอ็พพลิเคชั่น (Web Application) พัฒนาด้วยภาษาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ เช่น C#.NET ASP.NET PHP JSP เป็นต้น
2. เว็บเซอร์วิสและ AJAX เป็นฟังก์ชั่นที่สร้างโดยภาษาโปรแกรมคอมพิวเตอร์เพื่อการทางานอย่างอัตโนมัติ ลดรอยต่อระหว่างมนุษย์กับคอมพิวเตอร์
3. XML ภาษาสาหรับแลกเปลี่ยนข้อมูล
4. เว็บเบราเซอร์ที่สามารถเพิ่มความสามารถต่างๆ ได้อย่างสะดวก เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของข้อมูล
5. เทคโนโลยีโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่มีการเพิ่มขีดความสามารถในการประมวลผล การติดต่อสื่อสาร และการทางานที่เลียนแบบเครื่องคอมพิวเตอร์ได้ รวมถึงมีฟังก์ชั่นในการแลกเปลี่ยนข้อมูลผ่านภาษา XML
6. PR2.0 (Public Relation) ผู้บริโภคมีการคิดวิเคราะห์และการรับรู้ข่าวสารที่เปลี่ยนไปทาให้กาเนิดแนวคิดของ PR2.0 ที่มีอานาจทางการตลาดมากขึ้น
ตัวอย่างของเว็บที่มีลักษณะรุ่นที่ 2 ได้แก่
1. Social Networking เช่น Facebook Hi5 เป็นต้น
2. Web Portal เช่น Yahoo.com MSN.com เป็นต้น
3. Web-Log (Blog) เช่น bloger.com GoogleSite wikipedia เป็นต้น
4. Gadget และ AJAX เช่น iGoogle googleMap เป็นต้น
5. Web Services & Services Orientation Architecture: SOA เช่น AmazonWebServices GoogleWebServices เป็นต้น
6. Mobile เช่น mFacebook mYoutube เป็นต้น
ลักษณะของเทคโนโลยีเว็บไซต์รุ่นที่ 2 (Web2.0) ที่นามาใช้ในระบบอีเลิร์นนิง เช่น มาตรฐาน Sharable Content Object Reference Model หรือ SCORM ซึ่งเป็นการกาหนดมาตรฐานในการแลกเปลี่ยนเนื้อหาและโครงสร้างระบบอีเลิร์นนิง โดยมีการประกอบกันของหลายมาตรฐาน เช่น ภาษา XML CSS และ LMS-Server เป็นต้น
ดังนั้น อาจสรุปได้ว่า Web2.0 นี้ คือยุคของการแบ่งปันข้อมูลข่าวสารในหลากหลายลักษณะ Web2.0 ทาให้เกิดเว็บแอ็พพลิเคชั่นที่ช่วยแก้ปัญหาต่างๆ จานวนมาก รวมถึงลดขั้นตอนการทางานลงและเป็นจุดเริ่มต้นของพื้นฐานระบบอัตโนมัติที่กาลังถูกวิวัฒน์เพื่อประยุกต์ใช้งานและตอบสนองความต้องการของผู้ใช้

WEB 2.0 IS


WEB 1.0
web 1.0 ถือได้ว่าเป็นต้นกาเนิดของเว็บยุคแรก ที่เป็นเว็บแบบ Static ที่ใช้ข้อกาหนดสาหรับการสื่อสารแบบ HTTP : HyperText Transport Protocol เป็นข้อตกลงในการจัดเอกสารโดยใช้ภาษา HTML (.htm, .html) ซึ่งเป็นภาษาพื้นฐานของการสร้างเว็บเพจที่สาคัญ การสื่อสารถือว่าเป็นการสื่อสารทางเดียว (One-way Communication) เพราะไม่มีการตอบรับจากผู้ที่ได้รับข้อมูล ในยุคแรก Web 1.0 เนื้อหาต่างๆที่แสดงอยู่ในเว็บไซต์ทั้งหมด จะมาจากเจ้าของเว็บไซต์เท่านั้น ผู้ต้องการข้อมูลก็เข้าไปอ่านจากเว็บไซต์หรือค้นหาผ่าน search engine เป็นส่วนใหญ่ web 1.0 เป็นเว็บในช่วงก่อนที่จะเข้าสู่ยุคแห่งการบูมจนล่มสลายของด็อตคอม (bursting of the doc com bubble) ในราวๆ ค.ศ. 2001 หรือ พ.ศ. 2544 Web 1.0 จะแสดงข้อมูลที่นิ่ง (static) คล้ายดั่งเปิดเวิร์ดโพรเซสเซอร์ (word processor) เช่น Microsoft Word ดูข้อมูล ซึ่งข้อมูลนัน้ อาจมีแต่ข้อความ หรืออาจมีรูปภาพประกอบก็เป็นไปได้
ด้วยเหตุนี้เองทาให้การติดต่อสื่อสารระหว่างผู้อ่านกับเจ้าของเว็บไซต์หรือ ผู้พัฒนาเนื้อหาเป็นไปในลักษณะทางเดียว ไม่สามารถโต้ตอบหรือแสดงความคิดเห็นได้ สาเหตุส่วนหนึ่งมาจาก Web 1.0 ยังเป็นยุคแรกๆ ที่คนส่วนใหญ่เพิ่งเริ่มรู้จัก
อินเทอร์เน็ตทาให้การใช้งานยังไม่หลากหลายมากนัก ดังนั้นการใช้งานส่วนใหญ่จะเป็นในลักษณะของการรับส่งข่าวสารผ่านอีเมล์ การพูดคุยโต้ตอบแบบออนไลน์ผ่านโปรแกรมต่างๆ การดาวน์โหลดเพลงและภาพต่างๆ จากเว็บไซต์ที่ให้บริการ

แต่ก็ยังมีแนวโน้มการพัฒนารูปแบบบริการให้กับผู้ใช้งานได้ติดต่อสื่อสารกัน มากขึ้น ดังจะเห็นได้จากความพยายามที่จะสร้างชุมชนออนไลน์เพื่อให้เกิดการติดต่อสื่อสารระหว่างเจ้าของเว็บไซต์และผู้เข้าชมมากขึ้น โดยจะเห็นได้จากหลายเว็บไซต์เริ่มมีการนากระดานข่าว (webboard) มาให้ผู้อ่านหรือผู้เข้าชมเว็บไซต์ได้แสดงความคิดเห็นต่างๆ และแลกเปลี่ยนข้อมูลซึ่งกันและกัน แต่ระบบของกระดานข่าวอาจจะยังไม่เอื้อในเรื่องของการเก็บข้อมูลที่เป็น ประโยชน์ไว้เพื่อให้ผู้ใช้คนอื่นสามารถกลับเข้ามาอ่านได้อีก หรือบางครั้งการจัดเก็บข้อมูลยังไม่มีการจัดเป็นหมวดหมู่อย่างเป็นระบบเพื่อ ให้ง่ายต่อการสืบค้น รวมถึงผู้ใช้งานเป็นผู้อ่านได้เพียงฝ่ายเดียว ยังไม่สามารถเพิ่มเนื้อหาหรือโต้ตอบกันได้มากนัก นับได้ว่าเป็นข้อจากัดที่พบในการใช้งาน
ตัวอย่างลักษณะของเวบไซต์ในยุค Web 1.0 เช่น การสร้างเวบไซต์บน GeoCities ซึ่งเป็นผู้ให้บริการฟรีโฮสติ้ง ซึ่งผู้เขียนต้องมีความรู้พื้นฐานในการทาเวบไซต์ และยากที่จะแบ่งปันเนื้อหาออกไป



WEB 1.0 VS WEB2.0